เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ ธ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ถ้ามีธรรมในหัวใจนะ มันรื่นเริงมันอาจหาญทุกกาลทุกสถานที่ถ้าหัวใจเป็นธรรมนะ ถ้าหัวใจเป็นธรรมนะ ธรรมมันเหนือโลก

โลกนะ หลวงตาบอกว่าถังขยะ ขี้ ถ้าขี้นะ เราต้องอยู่กับขี้ไงขี้ดิน อาหารมันเกิดมาจากดิน ถ้าเกิดมาจากดิน เกิดมาจากนั่น เราอยู่กับมัน ธาตุ๔ เห็นไหม ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕

วันนี้เรามาทำบุญวันสิ้นปีนะ พรุ่งนี้ทำบุญปีใหม่ วันนี้ทำบุญสิ้นปี วันนี้ปีเก่าพรุ่งนี้ปีใหม่แล้ว มันเป็นคตินิยม มันเป็นสมมุตินิยม ถ้าเป็นสมมุตินิยม เราก็อยู่กับเขา เราไม่ใช่คนขวางโลกไง ธรรมะที่ว่าธรรมะมันเหนือโลกๆ ดีกว่าโลก แล้วทำไมไปขวางโลกล่ะ

เราไม่ขวางโลกหรอก เราอยู่กับโลกนี้ แต่เรามีสติมีปัญญาไง เห็นไหม วันนี้วันแรก ดูข่าวเมื่อกี้นี้ เมื่อวานวันเดียวตายไปเกือบ ๕๐ ศพนี่มีแต่ความคิดที่รื่นเริงนะ ทั้งครอบครัวพากันไปเยี่ยมญาติแล้วก็ไปเสียชีวิตนะ สิ่งนั้นมันเพราะอะไรล่ะ

แต่ถ้าเป็นสมมุตินิยมๆ โลกเขานิยมกัน เราก็นิยมไปกับเขา ในการเรากลับไปเยี่ยมญาติของเรามันเป็นเรื่องดีทั้งนั้นน่ะ เรื่องกตัญญูกตเวทีเป็นของดีทั้งนั้นน่ะ แต่ของดีเราก็ต้องมีสติปัญญาสิ ถ้าสติปัญญานี้คือธรรม แต่เรื่องคตินิยมนี่คือโลก เราอยู่กับโลกไง เราเกิดมากับโลกไง เรามีพ่อมีแม่ไง เรามีชาติมีตระกูลใช่ไหม เราไม่ได้เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ ถ้าเราเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ เราจะอยู่คนเดียว เราจะมั่นคงของเรา

แต่เราเกิดมาสายบุญสายกรรมเพราะว่าสายบุญสายกรรมนี่ไง เพราะทำบุญกุศลมาถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนาสอนให้เสียสละ แต่การเสียสละนั้นจะไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น การแสดงธรรมก็ไม่เบียดเบียนผู้แสดงและเบียดเบียนคนอื่นการเบียดเบียนคนอื่นไม่ดีทั้งนั้น

การเบียดเบียนตนและเบียดเบียนผู้อื่น เราไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนตนเพราะเหตุใด ไม่เบียดเบียนตนเพราะหัวใจเราเป็นธรรมไง ถ้าหัวใจเราเป็นธรรมนะ ใจของเราเป็นธรรม เราจะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน แต่หัวใจเรายิ่งใหญ่ ถ้าหัวใจเรายิ่งใหญ่ เราเสียสละได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าอย่างนี้มันจะเป็นการเบียดเบียนตนไหม

ถ้าเป็นการเบียดเบียนตน กิเลสมันยิ่งใหญ่ กิเลสมันยิ่งใหญ่ มันหวงมันแหน มันสงวนรักษาไว้พอมันสงวนรักษาไว้กิเลสมันยิ่งใหญ่ พอมันยิ่งใหญ่ กิเลสมันยิ่งใหญ่ มันครอบคลุมหัวใจนี้ใช่ไหม ของกูๆ หมดเลยถ้าเป็นของกูๆ นี่ได้เสียแล้ว เพราะของกูๆมันก็ต้องวางแผนใช่ไหม คิดการณ์ใช่ไหมจะกระทำการให้เป็นของเราให้สมดังความเป็นของกู ถ้านี่ของกูๆ มันคือความคิด แต่ความคิดมันก็วางแผน วางแผนแล้วมันก็ไปจัดการ พอจัดการขึ้นไปนี่มโนกรรม กรรมเกิดขึ้นมาจากมโน จากความคิด แล้วมันเกิดเจตนา พอเจตนาแล้วมันมีการกระทำ

แต่คนที่หัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจยิ่งใหญ่ สิ่งที่กิเลสมันจะจรมานี่เข้ามาไม่ได้สติเป็นอัตโนมัติ พอมันกระเพื่อมสิ่งใดมันรับรู้ไง มันร้อน ของมันร้อน ดูสิ ของมันร้อนใครจะเข้าไปอยู่กับของร้อน ทุกคนต้องอยู่กันร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม หัวใจของเราถ้ามันอิสระมันมีความร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหมสิ่งที่ถ้าคิดอย่างนี้เป็นธรรม คิดอย่างนี้เป็นธรรม

หลวงตาท่านสอนประจำ ถ้าเป็นธรรมๆ เราต้องเหยียบคันเร่งเลย ถ้าเราคิดดีคิดอยากกระทำ เราควรทำ รีบๆ ทำ พอไม่รีบทำเดี๋ยวกิเลสมันจะฉวยไปกินหมดเลยแต่ถ้ากิเลสมันจะคิดทำนะ เบรกมันไว้ รถถ้าไม่มีเบรกไปไหนไม่รอด เราจะมีแต่เครื่องยนต์ดี คันเร่งดีแต่ไม่ได้คิดถึงเบรกเลย เบรกนี้สำคัญมาก สติสัมปชัญญะเราเบรกของเราไว้ชีวิตของเราๆ นะ ชีวิตของเรา เวลากรรมนะกรรมมันยั่วยุขึ้นมาแล้วมันก็เกิดการกระทำ กระทำเสร็จไปแล้วกรรมมันหัวเราะเยาะ

กรรมคืออะไรกรรมคือพญามารกรรมคือครอบครัวของมาร มันทำเสร็จแล้วมันก็ไปนั่งหัวเราะเยาะนะ ไอ้เราคนทำทำเสร็จแล้วจิตเป็นผู้รับ พอรับเสร็จแล้วทำเสร็จแล้วนะ ก็เสียใจ พอเสียใจเราก็ อู๋ย! ไม่น่าทำเลยมันไปหัวเราะเยาะอยู่นั่น เดี๋ยวทำอีกแล้ว นี่ไง เวลากิเลสมันยุๆขึ้นมา พญามารไง

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนดวงใจของเราไม่ได้อีกเลย”

“เธอเกิดจากความดำริของเรา” เรามีเจตนาสิ่งใดที่เราไม่รอบคอบ ความดำริมันก็มาพร้อมไง นี่ไงเวลาสมุทัยมันจรมาสมุทัยมันร่วมมา สิ่งนี้มันร่วมกับความคิดเรานั่นแหละ ความคิดเรามันคิดดีทั้งนั้นน่ะเวลาคิดดีแล้ว เวลามารมันมาหาแล้วมันมาแบ่ง มารมันมาคิดร่วมแล้ว

แต่ถ้ามีสติปัญญานะ ความคิดที่ดีความคิดอย่างนี้ทำให้เราเดือดร้อน ความคิดอย่างนี้ทำให้เราลำบาก ความคิดอย่างนี้เราไม่ควรทำถ้าไม่ควรทำๆ นี่สติปัญญาไง ถ้าสติปัญญา ถ้ามีคันเร่งเราก็เหยียบเร่งเข้าไปสิ

แล้วความดีทางโลก ที่เราทำกันอยู่นี่ความดีทางโลกความดีอยากให้คนนับหน้าถือตา นับหน้าถือตาแล้วได้อะไร มันได้อะไรขึ้นมา ถ้ามันได้อะไรขึ้นมา มีสติปัญญาค้นคว้าในใจของเราเอ็งทำอะไรผิดบ้างเอ็งมีอะไรผิดบ้าง ถ้าเราค้นหาความผิดของเราไม่เจอ ใครมันจะมาค้นหาเจอ ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งผิด ใครมันจะติฉินนินทาเรื่องของมัน ให้มันติฉินนินทา ให้มันฟ้องศาลด้วย ให้ ๑๐๐ ศาลด้วย ถ้าเราสะอาดบริสุทธิ์ใช่ไหม

แต่ถ้าเราค้นคว้าของเรา ถ้าเรามีความผิดพลาด เรามีความไม่ดีในหัวใจของเรา เราก็รู้ของเราใช่ไหม หลวงตาก็สอนอีกล่ะ ถ้าติดเราแล้วสอนคนอื่นไม่ได้ติดเราไง เรามีความคาดความหมายความหวัง นี่ติดเราไงถ้าไม่ติดเรา เราไม่มี นี่ไม่ติดเรา สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริงทั้งนั้นน่ะ มันเป็นข้อเท็จจริงมันเป็นเหตุปัจจัย มันต้องมีเหตุมีปัจจัยมาถ้าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยมา เราไม่มานั่งกันอยู่นี่หรอก

สิ่งที่เรามานั่งอยู่นี่เกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ก็ปรารถนาหวังดีกับลูกทั้งนั้น แต่ลูกบางคนก็ทำสมความปรารถนาของพ่อแม่ ลูกบางคนก็ทำไม่ได้สมความหวังเราไม่สมความหวังสิ่งที่ถ้าสมความหวังแหม! พ่อแม่สุขใจๆ

พ่อแม่ไม่ต้องการสิ่งใดจากลูกๆ เลย พ่อแม่ต้องการให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิตพ่อแม่ต้องการให้ลูกมีความสุข พ่อแม่ไม่หวังอะไรสิ่งใดๆ จากตัวลูกเลย แต่เราหวังอะไร เราหวังทรัพย์สมบัติ เราหวังชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณไง แต่พ่อแม่ แค่เราประสบความสำเร็จเรามีความสุข เขาก็พอใจ ความพอใจนั้นบุญกุศลเป็นอย่างนั้นไง ถ้าบุญกุศลมันเป็นนามธรรมไง นี่ไงหัวใจที่มันปรารถนามา ปรารถนาตรงนี้ไง

มันปรารถนาอะไรกับข้าวของเงินทองอย่างนั้น ข้าวของเงินทองมันไม่มีชีวิตมันไม่มีสุขมีทุกข์ คนต่างหากๆ คนต่างหากที่เป็นเจ้าของมันพอเป็นเจ้าของมัน“ของฉันๆ” แต่ถ้าคนต่างหากที่มีสติมีปัญญา ถ้าเป็นของฉันฉันก็มีโอกาสไง

หลวงตาท่านพูด เราสะเทือนใจมากตอนโครงการช่วยชาติ ท่านบอกเราไม่มี ถ้าเรามีเราเสียสละหมดเลย เราไม่ต้องไปกวนบ้านกวนเมือง เราไม่ต้องไปเบียดเบียน ไปให้เขาสะเทือนใจ แต่เพราะเราไม่มี ถ้าเรามีเป็นภูเขาเลากา เราจะใช้แทรกเตอร์ปาดลงมาให้หมดเลย แต่เราไม่มี

ไม่มีสมบัติโลกไง แต่ท่านมีความยิ่งใหญ่ในหัวใจไง ถ้ามีความยิ่งใหญ่ในหัวใจคนจนผู้ยิ่งใหญ่ไง มีบริขาร ๘ เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของตน เกิดมาชาติหนึ่งเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันเหลืออะไร มันก็เหลือคุณธรรมในหัวใจเหลือความเมตตาเหลือความเมตตาค้ำจุนโลกอยู่นี่ ถ้าค้ำจุนโลก ท่านค้ำจุนโลกเป็นที่เชื่อถือศรัทธาของเขา

ถ้าเป็นที่เชื่อถือศรัทธาของเขาก็โน้มน้าว โน้มน้าวชักนำให้เขาสร้างคุณงามความดี ให้เขาทำเพื่อสาธารณะ ให้เขาทำเพื่อชาติ นี่เวลาท่านทำของท่าน ท่านไม่มีทรัพย์สมบัติ แต่ท่านมีคุณธรรมในใจถ้าคุณธรรมในใจมันเป็นที่น่าเชื่อถือของสังคม ชักนำสังคมชักนำสังคมให้มันไปในทางที่ถูกต้อง ชักนำสังคมไปในทางที่ดีทำคุณงามความดีๆไง

เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เดินตามเท่านั้นน่ะ แต่การเดินตามนั้นเราก็ยังวิเคราะห์วิจัย มันใช่ไม่ใช่ มันจริงไม่จริง ยังหาเหตุหาผลอยู่ด้วยความโง่ เวลากิเลสมันชวนไปเล่นการพนันมันวิ่งพรวดเลย นั่นน่ะตรงนี้ไม่ต้องวิเคราะห์วิจัยเลย แต่ถ้าทำคุณงามความดีแล้วมันคิดวิเคราะห์วิจัยอยู่นั่นน่ะเชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นหรือไม่เป็น ไอ้นี่มันเป็นอำนาจวาสนานะ

แต่ถ้ามันละเอียดลึกซึ้งเข้าไปถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติแล้วมันไว้ใจกัน ครอบครัวกรรมฐานๆ เขารู้กันน่ะ เขารู้กันจากภายใน ถ้าใจนั้นมันเป็นความจริงแล้วนะ อย่างไรๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ มันจะออกนอกลู่นอกทางไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้คืออกุปปธรรมไง

สิ่งที่ยังเป็นไปได้อยู่ สิ่งที่ยังเป็นไปได้อยู่ที่ว่าเป็นกุปปธรรม กุปปธรรมก็ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตานี่แหละ นี่เป็นกุปปธรรม คำว่า“อนัตตา” คือการพัฒนาการของมันไงถ้าไม่มีการพัฒนาการ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันจะเจริญขึ้นมาได้อย่างไร คนเราจะเจริญขึ้นมา เกิดมาเป็นตุ๊กตาใช่ไหม ลูกน่ะ ตุ๊กตาเอามาตั้งไว้มันไม่เติบโตไง

มันต้องเติบโตสิ การเติบโตนั่นน่ะเป็นอนัตตา มันพัฒนาการของมันไง ฉะนั้น สพฺเพธมฺมา ถึงเป็น อนตฺตาแต่ถ้า สพฺเพ ธมฺมาธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่เวลาทำถึงที่สุด ผู้ที่เห็นอนัตตาแล้วมันผ่านพ้นอันนั้นไปแล้วมันจะเป็นอนัตตาได้อย่างไร มันก็เป็นความจริงของมันใช่ไหม ฉะนั้นถึงว่าเป็นกุปปธรรม อกุปปธรรม

แต่กุปปธรรมอกุปปธรรม แม้แต่ธรรมะนี่เราก็เถียงกันปากเปียกปากแฉะอยู่แล้ว ยังต้องไปเอาคุณสมบัติผู้ที่ทำแล้วเอามาเถียงกันอีกทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านฉลาด ท่านบอกถึงวิธีการ ท่านบอกถึงเหตุผลไม่ต้องไปพูดถึงมัน ผลในใจของใครถ้ามันได้ผลแล้วก็คือผล

ถ้าผล ต้องเอาผลใช่ไหม ก็เหมือนทั่วไป ร้านทองเขาต้องพิสูจน์เลย เอามาจำนำนี่ทองจริงหรือทองเก๊ ต้องพิสูจน์ตรวจสอบอยู่นั่นน่ะแต่ถ้ามันเป็นธรรมมันตรวจสอบอะไร ถ้ามันเป็นความจริงๆความจริงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นปัจจัตตัง ปัจจัตตังคือการรู้เฉพาะตน สุขทุกข์รู้เฉพาะหัวใจ

ถ้ามันภาวนาไม่ได้มันก็วนอยู่นั่นแหละ ถ้าทำสมาธิไม่ได้ก็เป็นสมาธิไม่ได้เวลาทำสมาธิขึ้นมาก็ตั้งชื่อว่าสมาธิ แล้วก็มาวิเคราะห์วิจัยกันพยายามตอกย้ำว่าสมาธิไม่จำเป็น สมาธิไม่ต้องใช้ ทำอะไรไม่จำเป็นทั้งนั้น ศีลก็ไม่จำเป็น ทำความดีไม่ต้องจำเป็น เป็นโจรปล้นก็ได้ ทำอะไรก็ได้เสร็จแล้วเป็นพระอรหันต์

แต่ครูบาอาจารย์เราไม่เป็นอย่างนั้น ตั้งไว้เลย ศีลสมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันไม่ปกติ ถ้ามันทำความสงบของใจได้มันจะเป็นมิจฉาสมาธิ ความเป็นมิจฉาสมาธิ พอมันเป็นสมาธิแล้ว มันมีกำลังแล้ว จิตมีกำลังแล้ว มันมีความมักใหญ่ใฝ่สูง มันต้องมีการกระทำ มันต้องไปทำลายเขาเพื่อความมีอำนาจบาตรใหญ่ความที่มีอำนาจบาตรใหญ่ อำนาจบาตรใหญ่โดยกิเลสไง

แต่ถ้ามีศีลปาณาติปาตา เราไม่เบียดเบียนใครทั้งสิ้นของของเขาแม้แต่วางอยู่ มีเจ้าของอยู่ ไม่แตะ เราทำไม่ได้ ผิดศีลนั้นไม่ได้ มันเป็นสิทธิ์ เป็นสิทธิ์คือนามธรรม ของนั้นแม้แต่เป็นวัตถุนะ แต่ถ้าสิทธิเจ้าของสิทธิ์เขายังไม่เสียสละนะหยิบไปมีปัญหาทันทีนี่เรามีความสะอาดบริสุทธิ์ขนาดนี้ ในใจเราสะอาดบริสุทธิ์ขนาดนี้ ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมา จิตมีกำลังขึ้นมามันจะไปเบียดเบียนใคร ในเมื่อเราไม่ปรารถนาสิ่งใดทั้งสิ้น เราปรารถนาหัวใจของเราเท่านั้น เวลาทำสมาธิขึ้นมาก็ทำสมาธิเพื่อใจดวงนี้เท่านั้น ใจดวงนี้ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ ขอให้มันสงบมาเถอะ ขอให้มีสติปัญญาให้มันสงบเข้ามา เวลาสงบเข้ามา เรามีสติปัญญาขึ้นมา เวลาสงบเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

สุขอื่นใด โลกที่เขาหากัน ความสุขที่เราแสวงหากัน เราขวนขวายกันอยู่นี่มันสุขจริงแท้หรือ มันเป็นความจริงอยู่หรือ แต่ถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันไม่ต้องการสิ่งใดเลย มันสงบในตัวมันเอง นี่จิตมันมหัศจรรย์มันมหัศจรรย์อย่างนี้

เวลามันทุกข์มันยากนะ เวลากิเลสมันลากไปเป็นขี้ข้ามันกระหืดกระหอบไปกับมันไม่รู้เท่าไรนะ เวลามันละวาง แค่สัมมาสมาธิ ยังไม่ทำอะไรเลยนะ แค่ละวางการชักจูงของกิเลส แค่ละวางการฉุดกระชากลากไปของกิเลสมันก็เป็นอิสระแล้ว ความที่เป็นอิสระนั่นล่ะคือสัมมาสมาธิถ้าสัมมาสมาธิมันต้องมีสติ มีความรับรู้มีผู้รู้อยู่

แล้วเขาบอกว่า ถ้าเป็นสมาธิเป็นตัวตน

ก็ตัวตน ก็ตัวเรา สัมมาสมาธิถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา นั้นมันถึงจะไปเริ่มเป็นการเป็นงานในพระพุทธศาสนาเพราะสมาธิ สมาบัติ๖ สมาบัติ ๘ อาฬารดาบส อุทกดาบสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับเขา “เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เหมือนเรา เก่งมากเลย เป็นศาสดาได้เลย” เพราะความรู้เขาแค่นี้พอ นี่ศาสดา

เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธ เพราะอะไรเพราะมันสงบก็คือสงบ เวลามันคลายออกมามันก็ทุกข์เหมือนเดิม มันไม่ได้ชำระกิเลสสิ่งใดๆเลย

ไอ้ที่ว่าสมาธิละกิเลสไม่ได้ สมาธิละกิเลสไม่ได้มันก็จริงทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าไม่มีสมาธิ สมบัตินั้นเป็นสมบัติล่อ สมบัตินั้นเป็นสมบัติของมาร สมบัตินั้นเป็นสมบัติ เพราะคนเกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์๕ ทุกคนเกิดมามีความคิด แล้วมันคิดยิ่งใหญ่ คิดมีคุณธรรม มันคิดไปสิความคิดไม่ใช่จิต

แต่เวลามันเกิดมา เวลาธรรมะมันเกิดบนจิต บนภวาสวะ ที่ภพ ปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่นี่ ที่มานั่งกันอยู่นี่มันมาจากไหน ถ้ามันเป็นที่ความคิดๆ มันก็คิดให้มันร่ำรวยสิ คิดให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งสิคิดเท่าไรก็คิดเพ้อเจ้อเพ้อเจ้อก็จินตมยปัญญาไง ถ้าจินตมยปัญญาพิจารณาไปแล้วมันก็ใกล้บ้าแล้วล่ะ เดี๋ยวมันก็บ้า แต่ถ้ามันมีสัมมาสมาธิขึ้นมามันเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันต้องมีเหตุมีผลของมันไง แล้วภาวนามยปัญญามันเกิดที่ไหน มันก็เกิดที่จิตไง

ปฏิสนธิจิตมันมีอวิชชาปิดบังมัน มันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามีสติปัญญาขึ้นไปมันจะเปิดตา มันพิจารณาของมันนะ มันจะย้อนกลับไปสำรอกคายคายอะไร มันไปคายอะไร ถ้ามันไม่คายสังโยชน์เครื่องร้อยรัดมันจะไปคายอะไร

เริ่มต้นนะสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิในกายของเรา เริ่มต้นเวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยนะ โอ้โฮ! ห่วงนู่น ห่วงไปหมดเลย เวลาใกล้ถึงวาระสุดท้ายนะเขาไม่ห่วงใครแล้วเขาจะห่วงตัวเขาแล้วห่วงตัวเขาแล้ว ถ้าห่วงตัวเขาแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วก็มีเราเท่านั้นแหละ สุดท้ายเราก็มีกายกับใจเท่านั้นน่ะ มันจะมาห่วงที่เรา นี่สักกายทิฏฐิ ที่สิ้นสุดแล้วนะ มันจะห่วงตัวตนแล้ว

แต่เริ่มต้นไม่นะ ห่วงลูก ห่วงเมียห่วงทรัพย์สมบัติห่วงๆ ห่วงไปหมดเลยห่วงไว้ก่อน เพราะชีวิตมันยังมีลมหายใจอยู่ มันยังคิดว่ามันยังคิดได้อยู่ แต่พอมันวิกฤติเข้าๆ นะมันเริ่มแล้ว ทรัพย์สมบัติก็ไม่สนใจมันแล้ว เออ! ลูกเมีย เมียก็อยู่ได้ แม่ไม่ต้องเลี้ยงแล้ว เราต้องเอาตัวเราให้รอดแล้ว นี่ไง ทิฏฐิไง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เวลามันไล่เข้าไปๆ มันจะไปถอนที่นั่นน่ะ

แล้วถ้ามันถอนสักกายทิฏฐิแล้ว ถอนสักกายทิฏฐิคือถอนกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ไม่ได้ทำลายหัวใจ ไม่ได้ทำลายกายเลย แต่จิตใจนี้เป็นอกุปปธรรมจิตใจนี้มีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลย มีคุณค่าขึ้นมาเพราะมันเข้ากระแสของธรรมไง ถ้ามันเข้ากระแสของธรรม นี่ไง

วันนี้เราทำบุญวันสิ้นปีนะ ขอให้มันสิ้นไป ความคิดแหลกเหลว ความคิดที่ทำให้เราเสียหายความคิดไม่ดีต่างๆให้มันสิ้นไป อย่าให้มันตามเราไปพรุ่งนี้ปีใหม่ อย่าให้มันตามไป ให้มันอยู่ได้แค่นี้ความคิดไม่ดีให้มันอยู่ได้แค่วันนี้ แล้วไม่ให้มันตามเราไปอีกนะ เอ็งอย่าตามข้ามานะ ข้าจะไปปีใหม่เอ็งอยู่ปีเก่า เอ็งอย่ามาปีใหม่นะ เอ็งอย่ามาปีใหม่ คิดได้ ทำไม่ได้

มีสติมีปัญญาฝึกหัดของเรา เห็นไหมปีเก่าปีใหม่มันก็วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้ทำอะไรอยู่ มืดกับสว่าง หลวงตาท่านพูดประจำ มืดแล้วสว่าง สว่างแล้วมืด มันก็มีแค่นี้ มันมีแค่นี้ หมายความว่าธรรมะเป็นธรรมชาติๆ หมายความว่า ถ้าจิตใจของครูบาอาจารย์ของเราจิตใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมะเป็นธรรมชาติต่างอันต่างจริง แล้วหัวใจมันก็จริงจริงๆจริงเพราะอะไร จริงเพราะได้พิสูจน์แล้วจริงเพราะได้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ตบะธรรมได้แผดเผามันแล้วจิตใจนั้นมันถึงเป็นจริง จริงโดยธรรมธาตุไง

แต่ตอนนี้จิตใจเราจอมปลอมไงสรรพสิ่งธรรมชาตินี้เป็นของจริงนะ แต่จิตใจของคนมันจอมปลอม มักใหญ่ใฝ่สูงเที่ยวล่าเขา สัตว์ในป่าก็ล่า ป่าก็ทำลายมัน ทำลายธรรมชาติทั้งนั้นเลย แล้วบอกธรรมะเป็นธรรมชาติแล้วเอ็งไปทำลายมันทำไมล่ะ เอ็งไปทำลายมันทำไม

นี่ไง เพราะมันจอมปลอมที่ใจไง มันจอมปลอมที่ความคิดจอมปลอมที่ความโลภไง เพราะความโลภมันเลยทำลายไปหมดไง แล้วก็ยังมาอวดว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ”...ธรรมชาติมันจะเอาน่ะสิ

แต่ถ้าเป็นความจริง เป็นความจริง สัจจะเป็นความจริง ความจริงอย่างนั้น เห็นไหม ถ้าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นความจริง จิตใจนี้มันจริงมันต่างอันต่างจริง ถ้าต่างอันต่างจริงมันจะเข้ากันไม่ได้อีกแล้วเอ็งก็จริงของเอ็ง ข้าก็จริงของข้า ต่างอันต่างจริงนะ ถ้าต่างอันต่างจริงเป็นความจริงถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ทีนี้การเวียนว่ายตายเกิด อะไรไปเกิดล่ะ ถ้ามันยังสงสัยอยู่มันต้องไปอยู่แล้วล่ะนี่ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้นะ

วันนี้เรากระเสือกกระสนมาทำบุญนะ ทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา ฟังธรรมๆ ตอกย้ำกิเลสในใจน่ะ ตอกย้ำความคิดเราน่ะ คิดผิดหรือคิดถูก คิดใหม่ได้ คิดให้ดี สิ้นปีแล้วให้มันจบแค่นี้อย่าตามกูไปอีกนะเอวัง